ตอน1
เรื่องนี้ขอออกตัวก่อนว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นกับคนกลุ่มนึงแล้วเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2013
ส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ต้องเข้ามามีเรื่องกับสิ่งลี้ลับตั้งแต่วัยเด็กเนื่องจากทวดเป็นผู้เรียนวิชาแก้ของ คุณไสยฯ ทั้งหลายที่บ้านต่างจังหวัด เมื่อปิดเทอมต้องไปนอนบ้านต่างจังหวัดเป็นเดือนๆ เลยทำให้เจอแขกของทวดที่มีพฤติกรรมแปลกๆ เช่นถูกผีเข้าเป็นเรื่องปกติ
แต่ก็เป็นคนกลัวผีมากๆ คนนึง หลังจากอายุสัก 11 ปี ก็ไม่ได้เจอเรื่องลึกลับๆ บ่อยๆ แม้กระทั่งสมัยก่อนกลับจาก RCA ตีสองตีสามขับรถผ่านสุสานเพื่อไปส่งเพื่อนแล้วออกมาคนเดียวก็ยังไม่เคยเจอใครมานั่งท้ายรถ จะเจอบ้างก็น้อย และส่วนใหญ่มีเรื่องที่เค้ามาบอกขอความช่วยเหลือ จนกระทั่งมาอยู่ที่ญี่ปุ่นตอนที่มาอยู่ครั้งแรก 3 เดือน แต่ไว้ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังอันนั้นก็หลอนค่ะ
แต่เรื่องนี้ที่จะเล่าคือประสบการณ์ไม่รู้ลืมของสามสาวบ้านพักกลางเมืองอย่างแน่นอน
เนื่องจากน้องคนนึงขออนุญาตใช้นามแฝงสำหรับทุกๆ คนแล้วกันนะคะ
ทุกคนเป็นคนไทยน้องที่พักอยู่กับเราอยู่แล้วนั้นชื่อ บี
ส่วนน้องอีกคนที่เพิ่งเดินทางกลับมาอยู่ญี่ปุ่นนั้นชื่อ เอ็ม
เมื่อเอ็มจะกลับมาอยู่ญี่ปุ่นอีกครั้ง ซึ่งโซโนโกะพักอยู่กับบี ก็เลยคิดกันว่าเราควรจะย้ายบ้านมั๊ย แต่ก็มาคิดๆ อีกทีนึง ให้เอ็มอยู่คนเดียวดีมั๊ยเราไม่ต้องไปแชร์บ้านกับเอ็มหรอก เพราะเอ็มอาจจะอยากมีความเป็นส่วนตัว แต่เอ็มก็มาชวนไปดูบ้าน ซึ่งบีก็คิดว่าเออลองไปดูก็ได้
ก่อนหน้านั้น เราก็มีคิดกันอยู่บ้างว่าบ้านหรือห้องพักในญี่ปุ่นน่ะ ยังไงมันก็ต้องมีคนตายสักรุ่นแหล่ะวะ เนื่องจากเค้ารีโนเวท ไม่รู้กี่รุ่น ต่อกี่รุ่น ก็คุยกันว่า ที่รับไม่ได้สุด น่าจะเป็นห้องที่มีคนฆ่าตัวตาย ซึ่งห้องพวกนั้นถ้าคนที่เพิ่งตาย จะมีราคาถูกมาก แล้วคนดูบ้านจะบอกเลยว่าห้องนี้มีประวัติ แต่ถ้ามีคนมาอยู่รุ่นนึงแล้วไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ เพราะกฎหมายบังคับแค่รุ่นเดียว
เอ็มเป็นคนมีเซนท์ ถ้าบ้านไหนมี เอ็มคงจะต้องโดนบ่อยแน่เพราะก่อนหน้านี้เคยอยู่แชร์เฮ้าส์กับเอ็มเมื่อตอนแรกที่มาอยู่ญี่ปุ่นแล้วเอ็มโดนประจำ เราเลยต้องเลือกสักนิดถ้าเอ็มโดนบ่อย พวกเราก็จะอยู่ไม่เป็นสุข
ก่อนจะไปดูบ้านซึ่งวันนั้นเราไม่ว่างเลยส่งน้องบี กับน้องเอ็มไปดูกันก่อน จริงๆ แล้วบีก็บอกกับเอ็มว่า “บางทีบีอาจจะไม่ย้ายนะ บีออกตัวก่อนนะ แต่ถ้าคิดจะย้ายน่ะ บีจะขออยู่ห้องพื้นไม้ บีไม่ชอบห้องเสื่อ เพราะห้องเสื่อหน้าร้อนจะชอบมีแมลง”
เราก็ไปหาฟุโดซัง (นายหน้าจัดหาบ้าน) ซึ่งการเป็นต่างชาติน่ะ ไม่ใช่ว่าจะเข้าอยู่ได้ทุกๆ บ้านนะ มันยากเราต้องให้เจ้าของบ้านยอมรับด้วย เพราะบางทีเค้าจะไม่ค่อยชอบคนไทย กับคนจีนเท่าไหร่ เนื่องจากชอบทำอาหารผัดๆ กัน แล้วมันจะทำให้บ้านไฟไหม้ได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นความเชื่อของคนญี่ปุ่นรุ่นก่อนๆ จึงเหลือบ้านไม่กี่หลังที่จะเป็นตัวเลือก ซึ่งบ้านที่เอ็ม กับบี จะไปดูกันนั้น คือเป็นแมนชั่นที่ติดกับห้องเที่โซโนโกะ อยู่กับบีเลย เรียกว่าอยู่ข้างๆ กันเลย มองกันเห็นจากหน้าบ้าน(หลังที่อยู่ก่อนย้ายเข้าไป) ห้องมีความสวยในระดับนึง มีห้องอยู่ 3 ห้อง เป็นห้องขนาด 3LDK
ซึ่งจะมีความหมายดังนี้ ห้องพื้นไม้ขนาดเล็ก 1 ห้อง, ห้องขนาดใหญ่พื้นไม้ 1 ห้อง และห้องเสื่อขนาดใหญ่ 1 ห้อง
ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ห้องซักผ้า นั้นค่อนข้างใหญ่ พร้อมระเบียง
ห้อง Living +ห้องรับประทานอาหาร + ทำครัว (Dining, Kitchen) ขนาดใหญ่
ซึ่งก่อนไปดู บีบอกกับเอ็มว่าต้องการนอนห้องพื้นไม้ แต่เมื่อเข้าไปแล้วบีเห็นว่าห้องเสื่อมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้จากหลังห้อง บีก็หันไปถามกับเอ็มว่า “แกรู้ใช้มั๊ยว่านี่ห้องใคร”
เอ็มตอบแบบไม่ได้คิดไร “ก็ห้องฉันดิวะ แกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าห้องพื้นเสื่อแกไม่ชอบ”
บีหันมาตอบจนทำให้เอ็มต้องงงกับคำตอบว่า “ห้องฉันสิ”
แล้วบีก็ชี้ไปห้องพื้นไม้ขนาดใหญ่ว่า “โน่นๆ ห้องแกอยู่โน่น”
เอ็มก็ตอบบีไปแบบงงๆ ว่า “เออๆ ก็ได้ว่ะ” หลังจากนั้น ฟุโดซัง ก็พาไปหาบ้านเพิ่มอีก 2 หลังซึ่งเป็นสองหลังที่ไม่ได้ถูกใจเอ็ม กับ บีเท่าไหร่นัก
เมื่อบีไปดูห้องกลับมาเสร็จสรรพ นางก็พร่ำเพ้อว่าอยากได้ห้องนั้นมากๆ เลยเจ๊ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ออกตัวว่า ไม่เอา ยังไม่พร้อม ให้เอ็มอยู่เดี่ยวๆ ไปก่อนแล้วค่อยย้ายไปอยู่อีกสักสามสี่เดือน
ก็พูดแบบไม่ให้น้องมันเสียกำลังใจว่า เอาไว้ดูราคาก่อนนะ เห็นว่าตั้งแสนห้าหมื่นห้าพันต่อเดือน ค่าแรกเข้าน่าจะแพงอยู่นะ บีไปคุยมาก่อนแล้วกันว่าเงินงวดแรกที่ต้องจ่ายน่ะ ราคาเท่าไหร่
เมื่อบีไปคุย ก็ได้คำตอบมาว่า ค่าแรกเข้าเกือบๆ ล้านเยน เราก็แบบว่าช๊อก เห้ย! บี แพงว่ะ ไม่เอาเจ๊ไม่ได้มีเงินขนาดนั้น นี่เจ๊เพิ่งได้งานมาห้าเดือน เงินเก็บไม่ถึงล้านหรอก บีตัดใจเหอะ ให้เอ็มอยู่คนเดียวอีกสองสามเดือนก่อนนะ พูดไปตากผ้าไป ปรากฎว่าเอามือไปหยิบไม้แขวนเสื้อที่แขวนอยู่ที่รางม่าน แล้วรางม่านก็หลุดตามไม้แขวนเสื้อมาด้วย ซึ่งบีบอกว่าเจ๊ ลางไม่ดีเลยนะ !
หลังจากนั้น เราก็ซักผ้า เครื่องซักผ้า ไฟช็อต แล้วไฟก็ดับทั้งห้องเลย !
ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดกับเรามาก่อน
จากนั้น เราไปเปิดเบรกเกอร์ใหม่ แต่งตัวแล้วกะว่าวันนี้จะไม่กลับห้อง เพราะไปเลี้ยงต้อนรับเอ็มมาญี่ปุ่นที่บ้านเพื่อนเกาหลี
และหลังจากนี้ คือสิ่งที่ทำให้พวกเราต้องย้ายบ้านแบบกระทันหัน!!!
ในขณะที่เรากินเลี้ยงกันอยู่ จู่ๆ เราคิดขึ้นมาได้ว่าพรุ่งนี้ต้องทำธุระหลายอย่างนี่หว่า กลับดีกว่าว่ะ เพราะพวกเด็กๆ มันกินกันเสียงดัง คืนนี้คงไม่ได้นอน ห้องเพื่อนเกาหลีก็แคบ นั่งกินกันอยู่กันเจ็ด แปดคน คงไม่มีที่นอน จึงชวนน้องผู้ชายที่สนิทกันเจ้าพัตโตะกลับมานอนเป็นเพื่อนเพราะระหว่างทางเดินจากบ้านเพื่อนไปสถานีมันเปลี่ยวๆ น่ากลัวอยู่ ตอนที่กลับเข้ามาที่อพาร์ทเม้น เราเห็นมีจดหมายอยู่ในกล่องเป็นชื่อของคนเก่าที่อยู่ ก็เข้าใจว่าเป็นจดหมายอะไรไม่รู้ก็เลยไม่เคยเปิดดู ซึ่งน้องพัตมันซนแล้วชอบอ่านภาษาญี่ปุ่น เลยบอกว่าเจ๊ผมเปิดอ่านได้มั๊ย เราบอกเออเอาสิ เมื่อน้องเปิดออก ปรากฎว่าเป็นจดหมายจากคนที่โกงเจ้าของห้อง เค้าเป็นมาเฟีย ส่งมาบอกว่าเค้ายึดห้องของเจ้าของห้องแล้ว ถ้าเราไม่ส่งค่าห้องให้เค้าๆ หลายล้านเยนมากๆ เค้าจะมาล็อกห้อง ภายในเจ็ดวัน ซึ่ง เราช๊อกมากๆ เราเลยต้องรีบย้ายออกแบบภายในสองสามวันเลย
คือก็พยายามไปหาห้อง แต่บีก็บอกว่าเจ๊เอาห้องนั้นเถอะ เราก็เลยจำเป็นต้องกลับไปดูห้องเกือบๆ ล้านเยน ความรู้สึกที่เข้าไปก็รู้สึกว่าห้องใหญ่มาก แล้วไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่ยังไงก็คงไม่เอาหรอก แต่เราก็น่าจะไปเอาอีกห้อง ซึ่งสวยกว่าแต่เดินไกลเป็นกิโลเลย แต่ราคาค่าแรกเข้าห้องไกลๆ จะถูกกว่ามากๆ แล้วเจ้าของเป็นเจ้าของร้านเหล้าใจดี เอาห้องถูกดีกว่าถูกกว่าครึ่งนึงเลย เราตัดใจจากห้อง 605 ดีกว่า
ปรากฎว่า อยู่ดีๆ ฟุโดซังโทรมาบอกว่าห้อง 605 เค้าลดราคาให้นะ ค่าแรกเข้าเหลือแปดแสนกว่าเยน ซึ่งมาลองคำนวณกันดู เออ พอมีหวัง ก็เลยลองหารกัน มันก็พอไหว จึงตัดสินใจเลือกห้องนั้น ในที่สุด ห้อง 605 นั้นก็เป็นของบี! ในวันที่ 10 ตุลาคม 2013 ซึ่งเรากับบีจะนอนในห้องเดียวกันในห้องเสื่อ เนื่องจากห้องของเราเป็นพื้นไม้ขนาดเล็กจะไม่ค่อยมีพื้นที่นอนเท่าไหร่
วันรับกุญแจ เราต้องอยุ่ในห้องใหญ่ๆ เงียบๆ คนเดียว ซึ่งก็มีแอบกลัวบ้างเล็กน้อย เพราะน้องมันยังไม่กลับ และเอ็มติดสัญญาห้องเก่าอยู่อีกสองเดือนถึงจะย้ายมาอยู่ด้วยกัน บีเค้าทำงานร้านอาหารกว่าจะกลับก็ค่อนข้างดึกเที่ยงคืนกว่าๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร
จนมีวันนึงน้องบีต้องไปค้างที่อื่น แต่บอกตรงๆ ห้องนี้เราไม่ค่อยคุ้นเคยเลยขอให้พัตโตะมานอนเป็นเพื่อนที่ห้องใหม่ คืนนั้นนั่งคุยกันจนตีสอง แล้วก็เริ่มปิดไฟจะนอนตอนตีสาม
ทันใดนั้น เราก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องโหยหวนแล้วพูดว่า “โอนี่จัง ทะซึเคะเตะ” แปลว่าพี่ชายคะ ช่วยด้วย! พัตโตะเป็นผู้ชาย ได้ยินรอบแรกก็สาวแตกทันทีบอก “อีเจ๊! เห้ย ได้ยินไรป่าววะ มันมีคนมาเรียกเรา อยู่ใกล้ๆ หูมาก หน้าห้องรึเปล่า”
พูดแล้วขนลุก แต่ก็บอกน้องมันไปว่า “เห้ย ได้ยินช่างแม่ม นอนๆ “
ปรากฎ เอาอีกค่ะ เรียกอีก “พี่ชาย ช่วยฉันด้วย” พูดสามสี่ครั้งแล้วพัตโตะบอกว่า “เจ๊ๆ มันเรียกอีกแล้วว่ะ แต่ยังดีนะ เค้าไม่ได้ยินคนเดียวเจ๊ได้ยินด้วย” เราเลยพูดแบบเนิบๆ มาก ทั้งที่หัวใจแทบจะหลุดออกจากหน้าอกแล้วว่า “นอนเหอะเค้าเรียกเมิงไม่ได้เรียกกรู นะนั่นน่ะ ได้ยินมะ พี่ชายๆ นอน นอน นอน ไม่รู้โว้ย นอนละ”
หลังจากนั้นทั้งพัตโตะและเราก็พูดพร้อมๆ กันว่านอนไม่หลับ แต่เสียงนั่นก็หายไป อาจจะเพราะเราบอกว่าไม่ให้สนใจ ให้นอน แต่สุดท้ายพัตโตะก็นอนไม่หลับ แล้วเราก็เฉลยตอนสองสามปีผ่านไปแล้วว่า จริงๆ แล้วเรารู้ว่ามันคือปี๋ แต่เราไม่อยากให้น้องกลัว
Categories: จุดท่องเที่ยว